วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

ขนมไทย 4 ภาค ภาคใต้

ประวัติความเป็นมาของขนมไทย
            ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนบประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม
ขนมไทยดั้งเดิม มีส่วนผสมคือ แป้ง น้ำตาล กระทิ เท่านั้น ส่วนขนมที่ใช้ไข่เป็นส่วนประกอบ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เม็ดขนุน นั้น มารี กีมาร์ เดอ ปีนา (ท้าวทองกีบม้า)หญิงสาวชาวโปรตุเกส เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
         สมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง  ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย ทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต


        
        ชาวใต้มีความเชื่อในเทศกาลวันสารท เดือนสิบ จะทำบุญด้วยขนมที่มีเฉพาะในท้องถิ่นภาคใต้เท่านั้น เช่น ขนมลา ขนมพอง ข้าวต้มห่อด้วยใบกะพ้อ ขนมบ้าหรือขนมลูกสะบ้า ขนมดีซำหรือเมซำ ขนมเจาะหูหรือเจาะรู ขนมไข่ปลา ขนมแดง เป็นต้นตัวอย่างของขนมพื้นบ้านภาคใต้ได้แก่
·         ขนมหน้าไข่ ทำจากแป้งข้าวเจ้านวดกับน้ำตาล นำไปนึ่ง หน้าขนมทำด้วย กะทิผสมไข่ น้ำตาล เกลือ ตะไคร้และหัวหอม ราดบนตัวขนม แล้วนำไปนึ่งอีกครั้ง
           ขนมหน้าไข่ ทำจากแป้งข้าวเจ้านวดกับน้ำตาล นำไปนึ่ง หน้าขนมทำด้วย กะทิผสมไข่ น้ำตาล เกลือ ตะไคร้และหัวหอม ราดบนตัวขนม แล้วนำไปนึ่งอีกครั้ง
·         ขนมฆีมันไม้ เป็นขนมของชาวไทยมุสลิม ทำจากมันสำปะหลังนำไปต้มให้สุก โรยด้วยแป้งข้าวหมาก เก็บไว้ 1  คืน 1 วันจึงนำมารับประทาน
·         ขนมจู้จุน ทำจากแป้งข้าวเจ้านวดกับน้ำเชื่อม แล้วเอาไปทอด มีลักษณะเหนียวและอมน้ำมัน
·         ขนมคอเป็ด ทำจากแป้งข้าเจ้าผสมกับแป้งข้าวเหนียว นวดรวมกับไข่ไก่ รีดเป็นแผ่น ตัดเป็นชิ้นๆ เอาไปทอด สุกแล้วเอาไปเคล้ากับน้ำตาลโตนดที่เคี่ยวจนเหนียวข้น
·         ขนมคนที ทำจากใบคนที ผสมกับแป้งและน้ำตาล นึ่งให้สุก คลุกกับมะพร้าวขูด จิ้มกับน้ำตาลทราย
·         ขนมกอแหละ ทำจากแป้งข้าวเจ้ากวนกับกะทิและเกลือ เทใส่ถาด โรยต้นหอม ตัดเป็นชิ้นๆ โรยหน้าด้วย มะพร้าวขูดคั่ว กุ้งแห้งป่น และน้ำตาลทราย
·         ขนมก้านบัว ทำจากข้าวเหนียว นึ่งสุก นำไปโขลกด้วยครกไม้จนเป็นแป้ง รีดให้แบน ตากแดดจนแห้ง ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทอดให้สุก ฉาบด้วยน้ำเชื่อม
·         ข้าวเหนียวเชงา เป็นข้าวเหนียวนึ่งสุก ตำผสมกับงาและน้ำตาลทราย
·         ข้าวเหนียวเสือเกลือก คล้ายข้าวโพดคลุกของภาคกลางแต่เปลี่ยนข้าวโพดเป็นข้าวเหนียวนึ่งสุกและใส่กะทิ
·         ขี้หมาพองเช มีลักษณะเป็นก้อนๆ ทำจากข้าวเหนียวคั่วสุกจนเป็นสีน้ำตาล ตำให้ละเอียดเคล้ากับมะพร้าวขูด น้ำตาลโตนดที่เคี่ยวจนข้น เคล้ให้เข้ากันดี แล้วปั้นเป็นก้อน


สูตรการทำขนมไทยภาคใต้

ขนมไข่


ส่วนผสมขนมไข่

- ไข่ขาวของไข่ไก่ 1 ถ้วยตวง
- แป้งเค้ก 1 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- ผงฟู 1 ช้อนชา

วิธีทำขนมไข่

1. ตีไข่ให้ขึ้นฟู แล้วเติมน้ำตาลทีละน้อยจนหมด ตีต่อไปจนน้ำตาลตั้งยอดอ่อน
2. ร่อนแป้งผงฟูเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ใส่แป้งส่วนที่ 1 ลงในไข่ที่ตีแล้ว เคล้าเบาๆให้         เข้ากัน ใส่น้ำมะนาวลงไป ใส่แป้งส่วนที่ 2 เคล้าเบาๆอีกครั้ง
3. ทาน้ำมันพืชที่พิมพ์ขนมอบให้ร้อน แล้วใส่แป้งที่ผสมลงในพิมพ์ปิดฝาอบให้แป้งสุกแห้งจนขนม         เป็นสีทอง แกะขึ้นใส่ถาด พักไว้ให้เย็น


ขนมก้านบัว



ส่วนผสมตัวแป้ง
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 กิโลกรัม
น้ำมันพืช 2 ช้อนโตะ
น้ำ 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 1/2 ช้อนชา
ไข่ไก่ 1 ฟอง
แอมโมเนีย 2 ช้อนชา
                                                      โซดา 2 ชอนชา
ส่วนผสมน้ำตาลสำหรับเคลือบ
น้ำตาลทราย 1 1/4 ถ้วย
น้ำ 1/2 ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนชา
แบะแซ 20 กรัม
ขิงแก่สับละเอียด 75 กรัม ( 1/3 ถ้วย)



วิธีทำ
1.ร่อนแป้งลงในอ่างผสม ทำเป็นบ่อตรงกลาง
2.ผสมน้ำ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย เกลือ ไข่ไก่ แอมโมเนีย โซดา คนให้เข้ากัน
3.เทส่วนผสมข้อ 2 ลงในอ่างแป้ง นวดให้เข้ากัน พักแป้งไว้ 1 ชั่วโมง
4.แบ่งแป้งมาคลึงให้มีความหนาประมาณ 1/4 เชนติเมตร ตัดแป้งเป็นชิ้นยาว3-4 เนติเมตร ทำเช่นนี้      จนหมดแป้ง
5.นำแป้งที่ตัดแล้วไปทอดในน้ำมัน จนแป้งมีสีเหลืองกรอบ ตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน
วิธีทำ        น้ำตาลเคลือบ ผสม น้ำ น้ำตาลทราย เกลือ แบะแซ ขิงแก่ ลงในกระทะ นำไปตั้งไฟเคี่ยว จน            เหนียว   ข้น ใส่แป้งที่ทอดแล้วลงคลุกให้เข้ากัน จนน้ำตาลแห้ง จับทั่วตัวแป้ง(ตอนน้ำตาลใกล้จะ      แห้ง ให้หรี่ไฟลงอ่อนๆ )

ขนมจู้จุน

ประกอบด้วย 
แป้งข้าวเจ้า 2 ½ ถ้วยตวง
แป้งข้าวเหนียว ½ ถ้วยตวง
น้ำตาลบี๊ป 1 ถ้วยตวง
น้ำมันสำหรับทอด
น้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง


วิธีทำ
• ผสม แป้งข้าวเจ้าและแป้งข้าวเหนียวให้เข้ากัน เติมน้ำลงไปทีละน้อยนวดแป้งให้เข้ากัน เติมน้ำตา     ลบี๊ป นวดให้แป้งและน้ำตาลผสมกันดีพักไว้อย่างน้อย 30 นาที ตั้งทิ้งไว้ข้ามคืนก็ จะดี
•นำกระทะตั้งไฟ เติมน้ำมันใช้ไฟอ่อน เมื่อน้ำมันร้อนจึงใส่แป้งทอดให้เหลืองกลับอีกด้านหนึ่ง เมื่อ    ได้ที่เอาขึ้น พักไว้ในตะแกรงวางบนกระดาษซับน้ำมัน





ข้าวเหนียวมูน


ส่วนผสม
 * ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
* หัวกะทิ 450 กรัม
* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 550 กรัม
* ใบเตย 3-5 ใบ
* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ
* น้ำใบเตย, น้ำแครอท, น้ำดอกอัญชัญหรือสีผสมอาหารตามชอบ

ขั้นตอนการทำ
 1. นำข้าวเหนียวไปล้างทำความสะอาดและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ (กรณีต้องการทำข้าเหนียวที่มีสีต่างๆ ก็ให้ใส่สีลงไปในน้ำที่แช่ค้างคืนไว้ด้วย)
2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าว  เหนียวสุก
 3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก็สามารถนำไปเสริฟได้ (เวลาเสริฟอาจโรยหน้าด้วยถั่วทอง)



ข้าวตัง หน้าตั้ง


เครื่องปรุง
1. หัวกะทิ 1 กล่อง
2 . รากผักชี 2 ช้อนชา
3. กระเทียม 3 กลีบใหญ่
4. พริกไทย 1 ช้อนชา
5. เกลือ 1 ช้อนชา
6. หอมแดงสับละเอียด
7. แห้วต้มหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
8. กุ้งสดสับละเอียด
9. สาหร่ายเกลียวทอง 5-6 แคปซูล
10. น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ
11. น้ำตาลปิ๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
12. แผ่นข้าวตัง 30 แผ่น
วิธีทำ
1. ทอดแผ่นข้าวตังในน้ำมันร้อนปานกลาง
2. ตำรากผักชี + กระเทียม + พริกไทย + เกลือ ให้ละเอียด
3. แป้งกะทิประมาณ 1 ถ้วยตวง ตั้งไฟให้เดือด คนอย่าให้กะทิเป็นก้อน
4. ใส่เครื่องที่ตำไว้ลงไปผัดให้หอม แล้วใส่หอมแดงลงไป ผัดให้สุก ตามด้วยกุ้งสับ ซึ่งสีของเครื่องที่ผัดจะออกแดงๆ (ถ้ามีมันกุ้งจะเพิ่มสีสันให้สวยงาม)
5. ใส่แห้วและสาหร่ายเกลียวทองลงไป คนให้เข้ากัน ตอนนี้สีจะเริ่มออกเขียวอ่อนๆ
6. ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปิ๊ป ชิมให้รสกลมกล่อมอมเปรี้ยวอมหวาน (ถ้าอ่อนเค็มให้เติมเกลือได้เล็กน้อย ถ้าน้ำแห้งให้เติมกะทิลงไป) คนให้หน้าตั้งเป็นน้ำขลุกขลิกใส่ถั่วลิสงลงไปคั่วเป็นลำดับสุดท้าย
7. ตักหน้าตั้งใส่ถ้วย (ถ้าชอบกะทิสดอาจหยอดลงไปเล็กน้อย) แต่งหน้าด้วยใบผักชี จัดข้าวตั้งใส่จาน แค่นี้ก็พร้อมรับประทานได้แล้;


ฝอยทอง

วิธีการทำฝอยทอง

1. ไข่เป็ด 5 ฟอง
2. ไข่ไก่ 5 ฟอง
3. น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
4. น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
5. ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ(ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านป้าน)
6. น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
7. กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
8. ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)
    
วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก
2. ผสมไข่แดง, ไข่น้ำค้างและน้ำมันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว
3. นำน้ำลอยดอกมะลิผสมกับน้ำตาลในกระทะทองเหลืองและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจน           เดือด
4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่     สุกจึงใช้ไม้แหลม สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ
5. จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ


ขนมจ๊อก

     อาหารหวานของทางภาคเหนือ และถือเป็นของหวานที่เป็นขนมยอดนิยม ทำกันทุกบ้านในเวลาเทศกาลโดยเฉพาะ สงกรานต์ หรือเทศกาลเข้าพรรษา เดือนยี่เป็ง เวลาไปทำบุญที่วัด เราจะพบเห็นขนมพื้นบ้านที่ทุกบ้านจะนิยมทำ คือ ขนมจ๊อกคำว่า จ๊อกเป็นคำกริยาที่หมายถึง การทำสิ่งของให้มีลักษณะเป็นคล้ายๆ กระจุก มียอดแหลม คือ การห่อขนมเทียนของทางภาค กลางนั่นเอง ขนมจ๊อกของภาคเหนือดั้งเดิมนิยมทำไส้หวานจากมะพร้าวเท่านั้น ไม่นิยมทำไส้ถั่วหรือไส้เค็มเลย
เครื่องปรุง
แป้งข้าวเหนียว ๕ ถ้วยตวง
น้ำ ๓ ถ้วยตวง
เกลือป่น ๑ ๑/๒ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
๑. นวดแป้งโดยใส่น้ำทีละน้อย ขณะที่กำลังนวดใส่เกลือป่นลงไปด้วย นวดจนกระทั่งแป้งนิ่ม เก็บ        ไว้ในภาชนะที่ปิดฝา หรือใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำพอหมาดคลุมไว้ (จะใช้หัวกะทิสำหรับนวดก็ได้)
๒. ใส่มะพร้าวกับน้ำตาลปีบลงในกะทะหรือหม้อ ตั้งไฟกลาง คนไปจนกระทั่งเหนียวปั้นได้ ยกลง
๓. ปั้นไส้เป็นก้อนกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑/๒ นิ้ว
๔. นำแป้งมาปั้นให้กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้ว แผ่ออก นำไส้ขนมที่ปั้นไว้มาใส่ตรงกลาง            แล้วห่อแป้งหุ้ม ไส้ขนมให้มิดห่อด้วยใบตองที่เตรียมไว้
๕. เรียงขนมที่ห่อเรียบร้อยแล้ว ลงในลังถึง นึ่งไฟกลางประมาณ ๓๕ นาที พอสุกยกลง



ข้าวแต๋น


         



         เป็นขนมที่นิยมทำกันในเทศกาลปีใหม่เมือง หรือสงกรานต์ งานปอยลูกแก้ว และงานปอยหลวง ปัจจุบัน นิยมผสมน้ำแตงโมลงในข้าวเหนียวที่นึ่งแล้ว ก่อนนำมากดลงพิมพ์ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและความหวานอร่อย (บัวจันทร์ นนทวาสี, สัมภาษณ์, 10 กรกฎาคม 2550)

วิธีการทำ

1.คั้นเนื้อแตงโม และกรองเอาแต่น้ำ ผสมงาดำใส่ลงในน้ำแตงโม คนให้เข้ากัน
2. แช่ข้าวสารประมาณ1คืน นึ่งข้าวให้สุก เทใส่ชาม เทน้ำแตงโมผสมงาดำลงในชามข้าวเหนียว           คลุกเคล้า ให้เข้ากัน
3. ใส่ข้าวในถุงพลาสติกเพื่อเก็บความร้อน
4. กดข้าวลงในพิมพ์วงกลม
5. แกะข้าวออกจากพิมพ์ นำข้าวแต๋นไปตากแดด 2 วัน
6. ทอดข้าวแต๋นในน้ำมันร้อนจัด
7. หยอดด้วยน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเหนียว

เคล็ดลับในการปรุง
      การทำน้ำอ้อยสำหรับหยอดหน้าข้าวแต๋นให้เคี่ยวน้ำอ้อยจนข้นเหนียว ทิ้งไว้ให้เย็นก่อนแล้วค่อยหยอดลงไปที่หน้าข้าวแต๋น เพื่อให้ข้าวแต๋นกรอบได้นานขึ้น  เคล็ดลับในการเลือกเครื่องปรุงการทอดข้าวแต๋น หรือ จืนข้าวแต๋นต้องทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด แล้วพลิกกลับไปมาจะทำให้ข้าวแต๋นพองตัว และกรอบอร่อย
ชื่อพื้นบ้าน เข้าหนมเกลือ (เข้าหนมเกื๋อ)
ส่วนผสม/อุปกรณ์
แป้งข้าวเจ้า ? กิโลกรัม
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
กะทิข้น 5 ถ้วยตวง
(น้ำตาลปีบ งาดำ)
ใบตองอ่อนสำหรับห่อ
กะทะทองเหลืองสำหรับกวน
ลังถึงสำหรับนึ่ง

วิธีการทำ
1. ฉีกใบตองกว้าง7นิ้ว เช็ดให้สะอาด
2. ร่อนแป้งผสมเกลือ
3. ใส่กะทิคนให้เข้ากัน
4. เทใส่กะทะทองเหลืองหรือหม้อ ตั้งไฟขนาดกลาง คนพอแป้งข้นไม่สุก
5. ตักแป้งในตรงกลางใบตองพอควร แล้วห่อเหมือนกับห่อขนมชนิดยาว ห่อแบน ๆ ไม่ต้องกลัดไม้     กลัด
6. วางห่อขนมเรียงในลังถึง นึ่งไฟแรงประมาณ 15-20 นาที แล้วยกลง
   หมายเหตุ อาจใช้น้ำตาลปีบผสมกับแป้ง และโรยด้วยงาดำนิดหน่อย จะทำให้ขนมมีรสหวานและ    เป็นสี น้ำตาลอ่อน มีจุดดำ ๆ กระจายเป็นจุด ๆ จะไม่ใส่งาดำใส่และน้ำตาลก็ได้

ประโยชน์

     รับประทานเป็นขนม หรือของว่าง นิยมทำให้เด็กเล็กรับประทาฯ ทำง่าย ปัจจุบันนอกจากทำรับประทานในครอบครัว หรือทำบุญถวายพระแล้ว ยังทำขายเป็นอาชีพได้



ขนมเกลือ

ชื่อพื้นบ้าน เข้าหนมเกลือ (เข้าหนมเกื๋อ)

ส่วนผสม/อุปกรณ์
- แป้งข้าวเจ้า ? กิโลกรัม
- เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
- กะทิข้น 5 ถ้วยตวง
- (น้ำตาลปีบ งาดำ)
- ใบตองอ่อนสำหรับห่อ
- กะทะทองเหลืองสำหรับกวน
- ลังถึงสำหรับนึ่ง

วิธีการทำ
1. ฉีกใบตองกว้าง7นิ้ว เช็ดให้สะอาด
2. ร่อนแป้งผสมเกลือ
3. ใส่กะทิคนให้เข้ากัน
4. เทใส่กะทะทองเหลืองหรือหม้อ ตั้งไฟขนาดกลาง คนพอแป้งข้นไม่สุก
5. ตักแป้งในตรงกลางใบตองพอควร แล้วห่อเหมือนกับห่อขนมชนิดยาว ห่อแบน ๆ ไม่ต้องกลัดไม้     กลัด
6. วางห่อขนมเรียงในลังถึง นึ่งไฟแรงประมาณ 15-20 นาที แล้วยกลง
    หมายเหตุ อาจใช้น้ำตาลปีบผสมกับแป้ง และโรยด้วยงาดำนิดหน่อย จะทำให้ขนมมีรสหวานและ     เป็นสี น้ำตาลอ่อน มีจุดดำ ๆ กระจายเป็นจุด ๆ จะไม่ใส่งาดำใส่และน้ำตาลก็ได้

ประโยชน์

     รับประทานเป็นขนม หรือของว่าง นิยมทำให้เด็กเล็กรับประทาฯ ทำง่าย ปัจจุบันนอกจากทำรับประทานในครอบครัว หรือทำบุญถวายพระแล้ว ยังทำขายเป็นอาชีพได้


บุญข้าวประดับดิน


      นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า
บุญข้าวประดับดิน เป็นบุญที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรต (ชาวอีสานบางถิ่นเรียก เผต)
หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว ข้าวประดับดิน ได้แก่ ข้าวและอาหารคาวหวาน
พร้อมหมากพลู บุหรี่ที่ห่อด้วยใบตอง กล้วย นำไปวางไว้ตามใต้ต้นไม้ แขวนไว้ตามกิ่งไม้
หรือวางไว้ตามพื้นดิน เรียกว่า ห่อข้าวน้อยพร้อมกับเชิญวิญญาณของญาติมิตร
นำภัตตาหารไปถวายแด่พระภิกษุ สามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย โดยหยาดน้ำ (กรวดน้ำ) ไปให้ด้วย



กระยาสารท

วิธีทำ
1. นำกะทิใส่กะทะ เติมน้ำตาลปีบ ตั้งไฟเคี่ยวเหนียวพอประมาณเป็นยางมะตูม
2. ใส่แบะแซ เคี่ยวไฟอ่อนๆ แบะแซช่วยเพิ่มความเหนียวให้กระยาสารท
3. เติมน้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวช่วยให้กระยาสารทมีสีสวย ใส และกรอบ
4. ใส่ข้าวตอก ข้าวเม่า เคี่ยวไฟอ่อนๆ
5. ใส่ถั่ว งา คลุกให้เข้ากันจนทั่ว ดับไฟ ตักกระยาสารทใส่ภาชนะ อาจทำเป็นแผ่น ตัดเป็นคำพอ            ประมาณตามต้องการ









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น